วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

การฝึกนิสัยขับถ่ายให้แมว


การฝึกนิสัยขับถ่ายให้แมว 
                                 
โดยปกติแมวจะเรียนรู้นิสัยการขับถ่ายจากแม่ของมันเอง โดยถ้าอยู่นอกบ้านก็จะ พยายามคุ้ยเศษฟางหรือเศษดินทรายมากลบอุจจาระของมันโดยธรรมชาติ เพราะแมว เป็น สัตว์ที่รักสะอาดอยู่แล้ว ถ้าอยู่ในบ้านเราก็แค่เตรียมถาดใส่ทรายที่สะอาดให้มัน โดยในครั้งแรกๆ เมื่อเห็นมันกำลังถ่ายเลอะเทอะก็จับมันมาไว้ที่ถาดทราย สักพัก มันก็จะชิน คราวต่อไปมันก็จะมา ใช้บริการส้วมของมันเองได้โดยอัตโนมัติ 
จะทำยังไงเมื่อแมวถ่ายไม่เป็นที่
                                  
ถ้าแมวไม่ยอมถ่ายในภาชนะที่เราเตรียมไว้ให้ ก็อาจเป็นเพราะว่าถาดนั้นเคยถูก ใช้มาแล้ว และไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ การลงโทษโดยตีมันแรงๆ หรือตวาดใส่ ไม่ได้ช่วยให้เกิดผลดีเลย กลับทำให้แมวไม่เข้าใจว่าเราตีมันทำไม นอกจากจะเป็นการทำให้มันระแวงในตัวเจ้าของแล้ว คราวต่อไปมันก็ยังคงทำ เลอะเทอะเหมือนเดิม 
การสอนให้แมวรู้จักชื่อของมัน 
                 
ถ้าเราตั้งชื่อที่เรียบง่ายและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวให้ลูกแมวจะจำได้ดีกว่า ถ้ามีแมวอยู่ในบ้านหลายตัว เราไม่ควรตั้งชื่อที่มีเสียงคล้ายกัน เช่น คิตตี้ บิลลี่ ลิลลี่ สาลี่ มีมี่(นามสมมุติ) เพราะแมวแยกเสียงเหล่านี้ไม่ออก สุดท้ายก็กลายเป็นว่า ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไร ก็ไม่มีตัวไหนมาหาเราเลย เราต้องเรียกชื่อมันก่อนอาหาร แต่ละมื้อเพื่อให้เสียงเรียกชื่อนั้นสัมพันธ์กับรสชาติอาหารที่มันกำลังเอร็ดอร่อยอยู่ ในระยะต้นๆสัญชาติญาณ การอยากรู้อยากเห็นของลูกแมวจะทำให้มันพร้อมจะตอบสนอง ต่อเสียงเรียก ซึ่งเราควรจะตอกย้ำให้มากขึ้นด้วยการให้ความสนใจต่อมันทุกครั้งที่มันเข้ามาหา

การดูแลแม่แมวทั้งก่อนและหลังคลอด

อย่างแรกและสำคัญนะคะ คือต้องจดวันที่ผสมวันแรกที่เอาเค้าเข้าคู่กัน แล้วอยู่ด้วยกันอีกกี่วัน โดยส่วนตัวจะนับวันที่เค้าผสมกันวันแรกคะ
 ถ้าอยากจะรู้ให้แน่นอนว่าแม่แมวตั้งท้องหรือป่าว ผ่านสองอาทิตย์ สังเกตุเต้านมจะเห็นได้ชัดว่าจะแดงขึ้นมากคะ แต่ถ้าแน่นอนที่สุด หลังจาก 4 อาทิตย์ พาไปอัลตร้าชาวร์ก็จะเห็นตัวน้อยๆแล้วคะ เพราะจริงๆแล้วการอัลตร้าซราว์ เริ่มดูได้ตั้งแต่ 2 อาทิตย์ขึ้นไปคะ

 ช่วง 2-4 อาทิตย์แรกยังไม่ต้องบำรุงอะไรมากมายนะคะ เด๋วเด็กน้อยตัวจะใหญ่ คลอดไม่ได้ต้องผ่ากันวุ่นวายเลย รอจนผ่านช่วงเดือนแรกไป เริ่มเปลี่ยนอาหารให้แม่แมวกินอาหารสำหรับแมวเด็กเลยคะเพราะโปรตีนจะสูงกว่าของแมวโต เหมาะสำหรับแม่แมวช่วงตั้งท้องคะ

 พอเริ่มเข้า45 วันหลังการผสม แนะนำให้บำรุงแคลเซียมเพิ่มทุกวัน อาจจะเสริมด้วยนมแพะด้วยก็ยิ่งดีคะ เพราะช่วงนี้เด็กในท้องจะได้รับสารอาหารได้เต็มที่คะ ช่วงลูกแมวในท้อง 50 กับ 60 วันจะใหญ่เห็นได้ชัดเลยคะ (ดูจากการเอ็กซ์เรย์)

 ที่สำคัญอีกอย่างพอครบ 60 วัน ควรจะนำแม่แมวไปเอ็กซ์เรย์ดูจำนวนลูกในท้อง แล้วก็ดูด้วยว่า กระโหลอกของลูกแมว ใหญ่กว่าเชิงกร้านแม่หรือป่าว ครั้งที่ผ่านมากที่บ้านเอ็กซ์เรย์วันที่ 60 ลูกในท้อง 5ตัว 3หัวใหญ่ ขนาด 2.5 เซ็นแต่เชิงกร้านแม่แค่ 2 เซ็น ต่อให้ขยายได้อีกก็จะพอดีสุดๆ ต้องเบ่งกันตายเลย แล้วเวลาที่แม่แมวเบ่งลูกมากๆ จะทำให้เค้าสูญเสีย แคลเซียมในดัวด้วย เลยรอให้เค้ามีอาการน้ำเดินแล้วก็เอาไปผ่าเลยคะ อาการน้ำเดินที่ว่าเนียไม่ใช้รอจนมีน้ำคล่ำแตกนะ สังเกตุว่าจะมีเหมือกสีครีมๆข้นๆ ออกมาจากอวัยวะเพศ ของแม่แมว เตรียมตัวเลยคะอีกไม่เกิน 24 ชม. คลอดแน่นอน

 โดยปรกติหลังจากแม่แมวครบ 50 วัน ควรจำกัดบริเวณ ไม่ให้กระโดนคะ เพราะมีโอกาศที่มดลูกจะพลิกได้สูงมาก อันตรายถึงตายเลยคะ

 ครบกำหนด 60 วันแล้ว หลังจากเราไปเอ็กซ์เรย์แล้ว สังเกตุง่ายๆเลยนะคะ ถ้าลูกแมวเยอะเนี่ย 4 ตัวขึ้นไปมันจะเหมือนกับกระตุ้นให้แม่แมวคลอดเร็ว อาจจะอยู่ที่ 63-65 แต่ถ้าแค่ 2-3 ตัวอาจจะเกิน 65 วันได้ แต่ไม่ควจเกน 68-69 วัน แล้วถ้า 69 วันยังไม่คลอดต้องอัลตร้าซารว์ดูอีกที่ว่าน้ำคล่ำเริ่มจะแห้งยัง รกจะเสื่อมมั้ย ถ้าเป็นต้องผ่าออกทันทีคะ เพราะในแม่แมวบางตัว มดลูดเชื่อยไม่เบ่งก็มีจ้า

  ในกรณีที่ต้องผ่าแนะนำให้ผ่าที่ข้างลำตัว อย่าผ่ากลางราวนม เพราะเค้าจะให้นมลูกลำบากจะเจ็บแผลมากเวลาลุกปีนป่ายกินนม

 หลังจากแม่แมวคลอดลูกเรียบร้อย ให้เสริมแคลเซียมตลอดในเดือนแรกทุกวัน เพิ่มเติมยาบำรุงเลือดมีทั้งแบบน้ำและแบบเม็ดแบบน้ำก็กินง่ายกว่าคะ กินครั้งละ 1-2 cc ทุกวันใน 2 อาทิตย์แรกของการคลอดด้วยคะ จะให้กินนมแพะเพิ่มด้วยยิ่งดี แล้วก็ยังต้องให้อาหารสูตรเด็กกับแม่แมวที่เลี้ยงลูกด้วยยนะคะ

 แม่แมวตัวไหนคลอดลูกเองแล้วเลอะเทอะมากก็สามารถอาจอาบน้ำได้นะคะ แต่ให้ผ่านช่วง อาทิตย์แรกไปก่อนนะคะ ส่วนเจ้าตัวเล็กที่บ้านจะอาบตั้งแต่วันที่คลอดเลย ตัดสายสะดื้อเสร็จก็จะล้างน้ำอุ่นเอาไดร์อุ่นเป่าให้แห้งนะคะ พอลูกแมว ผ่านเดือนแรกก็เริ่มอาบได้เลยคะ เพราะไม่งั้นจะม่อมแมมมากจะทำให้เป็นเชื้อราได้ แต่ต้องอาบอย่างรวดเร็ว แค่แชมพูเดียวก็พอคะ เป่าให้แห้งสนิทเพื่อไม่ให้เป็นหวัด ส่วนลูกแมวตัวไหนที่เป็นเชื้อราก็สามารใช้แชมพูเชื้อราได้เช่นกันคะ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรทองพันชังก็ปลอดภัยดีคะ หรือว่าจะเป็นแชมพูยาของไฟเซอร์ ยี่ห้อมาราเซพ ก็ดีมากคะ ไม่แพ้ด้วยจ้า


อ้างอิงมาจาก
http://www.catandkittenstory.com/board.asp?id=9777

วิธีการเลี้ยงลูกแมว

วิธีการเลี้ยงลูกแมวเบบี๋
1. การกิน
นมใช้นมแพะ หรือนมสำหรับลูกแมว (ได้หมดค่ะ) เราใช้นมแพะศิริชัยค่ะ มีขายที่เซเว่น ราคาขวดละ 20 บ.
อุปกรณ์ในการป้อนนม ใช้ขวดนมสำหรับลูกแมว (หาซื้อตาม โรงพยาบาลสัตว์) หรือจะใช้ไซริงขนาดเล็ก 1 ซซ. ก็ได้ค่ะ
หากต้องการให้ปลายไซริงค์นิ่ม เอาไส้ไก่จักรยานสวมที่ปลายไซริงค์
ใช้แทนจุกนมได้ หรือจะไม่ใส่ก็ได้ค่ะ เค้ากินได้ (มันใส่ยากมากเลยแหละ)
  ลูกแมวเล็ก ใช้ไซริงค์ขนาด 1 ซซ. ในการป้อนลูกแมวค่ะ**
- ลูกแมวเด็ก อายุไม่เกิน 1 สัปดาห์ เค้าจะกินบ่อย กินทุก 2 ชม. ป้อนครั้งละ 1-2 ซซ. ในช่วงแรกเกิด
- อายุ 2 สัปดาห์ ป้อนครั้งละ 5-7 ซซ. ทุก 2 ชม.
- อายุ 3 สัปดาห์ ป้อนครั้งละ 7-10 ซซ. ทุก 3 ชม.
- อายุ 4 สัปดาห์ เริ่มหัดให้กินอาหารเปียก และอาหารข้น ยังคงป้อนนมอยู่ค่ะ
(วิธีการทำอาหารข้นจะกล่าวในตอนต่อๆ ไปค่ะ )
2. ขับถ่าย
หลังป้อนนม

ให้กระตุ้นการขับถ่าย โดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดที่ก้นเค้าหรือจะใช้ทิสชูแห้งๆ ก็ได้ค่ะ ถ้าใช้ทิสชู วิธีการกระตุ่นให้ใช้วิธีแตะถี่ๆ ที่ก้นลูกแมว (ไม่ควรถูไปมา เพราะจะทำให้ก้นเปื่อยค่ะ)
กระตุ่นในช่วงแรกๆ ลูกแมวจะฉี่ออกมา หากลูกแมวมีอาการเกร็งตัว แสดงว่าเค้าจะอึค่ะ ให้กระตุ้นต่อไปอีก เค้าจะอึออกมา
3. ระวังท้องอืด
ลูกแมวที่ไม่ได้กินนมแม่ มักจะมีอาการท้องอืดได้ง่าย เนื่องจากย่อยและดูดซึมนมที่ใช้ทดแทนนมแม่ได้ไม่ดีเท่านมแม่ ป้องกันได้โดย : ป้อนไกร์สวอเตอร์ (ยาแก้ท้องอืดสำหรับเด็ก) มีขายตามร้านขายยา โดยป้อนตัวละ 0.1-0.2 ซซ. หลังอาหาร
4. ตัวช่วยย่อย
ให้ยาคูลท์ ลูกแมวตัวละประมาณ 0.2-0.3 ซซ. เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ช่วยย่อยให้ลูกแมว ป้องกันการท้องอืด และบรรเทาอาการท้องผูกได้ค่ะ ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
5. ลูกแมวท้องผูก


อ้างอิงจาก
http://me2teen.myreadyweb.com/article/topic-322.html

การผสมพันธุ์แมวที่เหมาะสม


 การที่จะเพาะพันธุ์แมว ควรหาตัวผู้ที่มียีนที่เข้ากันได้ ไม่แนะนำให้ผสมพันธุ์แมวที่เป็นญาติใกล้ชิดกัน เช่นแม่กับลูกชายหรือพ่อกับลูกสาว พี่กับน้อง นอกเสียจากว่าจะเป็นผู้เพาะพันธุ์ที่มีประสพการณ์ แต่จริงแล้วก็ไม่ควรทำบางที่ตระกูลนั้นอาจมีความผิดปรกติของยีนแอบแฝงอยู่ แต่การผสมในสายเลือดเช่นพี่กับน้อง โดยการผสมในสายเลือดซ้ำๆยีนที่มีอยุ่เดิมจะรวมตัวกันเองโดยที่ไม่มียีนตัวใหม่จากสัตว์ที่แตกต่างกันเข้ามาเพิ่ม ลูกที่ได้จะมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น เพราะโครงสร้างของยีนมีความเป็นหนึ่งเีดียวกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามยีนด้อยของลักษณะที่ไม่ดี ซึ้งถ่ายทอดแต่ไม่ปรากฎในพ่อแม่ก็จะเผยโฉมออกมาในการจับคู่ที่เป็นพี่น้่องกันเพราะตอนนี้มันอยู่บนโครโมโซมทั้ง 2 สาย และลักษณะด้อยนั้นไม่ได้ถูกข่มไว้โดยยีนเด่นอีกต่อไป ถ้าผลออกมาเป็นลบ ของการจับคุ่พี่น้อง ก็ไม่ควรทำอีกต่อไป แต่ถ้าเป็นบวกก็จะได้สัตว์ที่มีลักษณะอย่างที่พอใจ แต่ลักษณะด้อยก็จะออกมาให้เห็นด้วย สิ่งนี้ก็เป็นการเสี่ยงสูงเหมือนกัน

     เมื่อคิดว่าพบพ่อพันธุ์ที่เหมาะสมแล้ว ให้ไปดูสถานที่ แมวแม่พันธุ์ต้องอยู่ที่นั้นเป็นเวลาหลายวัน หรือ 1 สัปดาห์ จะดีที่สุดและให้แน่ใจว่าเจ้าของพ่อพันธุ์จะดูแลแมวของเราอย่างดีที่สุด บางคนอาจไม่รับผิดชอบ จ่ายเงินค่าผสมไปแล้ว ท้ายสุดแมวเราก็ไม่ได้ตั้งท้อง ทุกวันนี้จึงมีผู้ที่่อยากเพาะแมว หาซื้อพ่อพันธุ์เก็บไว้เอง บางคนอาจรู้หรือยังไม่รู้ เชื้อของเพศผู้จะ 70 % เพศเมียแค่ 30 % ต่อให้เพศเมียสวยมากแค่ไหนแต่เพศผู้โครงสร้างไม่สวย ลูกก็จะไม่ได้ตามอย่างที่ต้องการ ส่วนมากเพศผู้จะสำคัญที่สุด  ถ้าคิดจะเพาะพันธุ์ต่อไป ตรงนี้ควรศึกษาให้ดีๆเกี๋ยวกับพ่อพันธุ์

     ไม่ควรนำแม่พันธุ์เดินทางไปไกลในการผสมพันธุ์ครั้งแรก การเป็นสัดจะเป็นประสพการณ์ใหม่ของแมว มันจะรุ้สึกสับสนเล็กน้อย การใส่ในกรงและขับรถไปหลายกิโลเมตรจากบ้านทำให้มันหงุดหงิดยิ่งขึ้น และอาจหมดความเป็นสัด  เพศเมียควรมีอายุอย่างน้อย 1 ปี  ลูกที่ออกมาจะสมบูรณ์ ระยะการตั้งท้องราว 65 วัน สิ่งนี้อาจช้าหรือเร็วไป 1-2 วัน ในการคลอด

อ้างอิงมาจาก
http://anya-persiancat.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

โรคของแมว


โรคไข้หัดแมว 
สาเหตุเกิดจากเชื้อพาร์โวไวรัส ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านภาชนะและเครื่องใช้ต่างๆ อาการ คือจะมีไข้ในระยะแรก อาเจียนมีน้ำดีปน ท้องเสีย บางครั้งถ่ายเป็นมูก เกิดภาวะขาดน้ำและตายได้ มักพบการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย ทำให้มีขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง และอาจเป็นปอดบวม ในที่สุด
 โรคมะเร็งเม็ดเลือดแมว
สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเชื้อลิวคเมียไวรัส ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลาย ปัสสาวะและอุจจาระ ของตัวที่ป่วย อาการของโรคนี้มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ไม่แสดงอาการ แบบมีเนื้องอกหรือแบบภูมิคุ้มกันถูกกด ทำให้แมวไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้ออื่นๆ เช่นปอดอักเสบ นอกจากนี้ไวรัสตัวนี้ยังสามารถก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดเช่น มะเร็งเม็ดเลือดและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคหลอดลมอักเสบแมว
สาเหตุเกิดจากเชื้อเฮอร์พีสไวรัสแมว ติดต่อจากการหายใจรดกันใกล้ๆ หรือจมูกสัมผัสกัน อาการคือมีไข้ สูง ซึม จาม น้ำมูกใสในระยะแรกต่อมาเป็นหนอง เยื่อตาขาวบวมน้ำ หนังตาชั้นที่สาม ( Third eye rids) เบื่ออาหาร น้ำลายเหนียว ข้นและไหลมาก อาจจะเป็นปอดบวมตามมา หลังจากติดเชื้อแล้วอาจ พบเยื่อจมูกอักเสบเรื้อรังทำให้เกิดไซนัสอักเสบเรื้อรัง
โรคภูมิต้านทานบกพร่อง
สาเหตุเกิดจากเชื้อกลุ่มรีโทรไวรัส หรือ FIV ติดต่อระหว่างแมวเท่านั้น ทางน้ำลายผ่านบาดแผล โดย เฉพาะในแมวเพศผู้ที่ชอบออกนอกบ้านและกัดกัน อาการคือ มักเกิดโรคแทรกซ้อนเพราะภูมิคุ้มกันบก พร่อง เช่น เป็นแผลในปาก ท้องเสีย หรือป่วยเรื้อรัง รักษาไม่หาย โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนในประเทศไทย
โรคพิษสุนัขบ้า
สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสชื่อแร็บโต ติดต่อจากน้ำลายของสัตว์ ที่ป่วย แพร่เข้าสู่ผิวหนังที่มีบาดแผล อวัยวะที่มีบาดแผล อวัยวะที่เป็นเป้าหมายของไวรัสคือระบบประสาทและสมอง อาการของโรคนี้ คือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป อาจจะออกมาในรูปแบบคุ้มคลั่งหรือซึม ระยะสุดท้ายจะเกิดอัมพาตของ ระบบทางเดินหายใจทำให้ตายในที่สุด


 อ้างอิงมาจาก
http://iam.hunsa.com/razberry/article/12758

สุขภาพ และ พฤติกรรมแมว

เทคนิดในการป้อนยาเม็ดและยาต่างๆให้แก่แมวของคุณ

การให้ยาเม็ดแก่แมวนั้นก็เหมือนกับการให้ยากับเด็กเล็ก  แมวของคุณนั้นคงจะไม่อยากที่จะกลืนยาเม็ดก้อนหนาลงไปในคอของมันอย่างแน่นอน หากคุณพยายามที่จะป้อนยาเม็ดลงไปในปากของแมว แน่นอนว่ามันก็จะพยายามขัดขืนแล้วเอายาออกด้วยการใช้เล็บและปากของมัน มันเป็นเรื่องที่ยากในการที่จะให้แมวกินอะไรในรูปของของแข็ง ดังนั้นมันก็เป็นธรรมชาติที่แมวจะไม่ชอบยาเม็ดแข็งๆนั้น แต่ทว่ามันสามารถกลืนทุกสิ่งทุกอย่างในรูปของของเหลวได้อย่างง่ายดาย

ทางที่ดีที่สุดในการที่จะให้แมวกินยาเม็ดนั่นก็คือการบดยานั้นให้เป็นผงเสียก่อน จากนั้นก็ให้ผสมผงยาเข้ากับอาหารที่อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งอาจจะเป็น อาหารบดหรือน้ำเปล่า ในปริมาณที่มากกว่าปกติแล้วก็ป้อนให้แมวของคุณ ลองนึกดูว่าหากคุณยังยัดเยียดให้มันกินยาเม็ดมันย่อมขัดขืนอย่างแน่นอน แต่เมื่อคุณผสมให้อยู่ในรูปของเหลวแล้ว มันก็แทบจะไม่กลัวเลยว่ามันกำลังกินยา แต่คุณต้องแน่ใจว่า ปริมาณอาหารหรือน้ำที่คุณใส่ไปนั้นมีมากพอ เพราะบางครั้งหากเราใส่ในปริมาณที่น้อยเกินไปจะทำให้แมวของคุณรู้สึกว่ารสชาติมันเปรี้ยวหรือแปลกเกินไป

อีกทางหนึ่งในการป้อนยาไปในปากของแมวก็คือการใช้ปืนสำหรับยิงยา ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้วิธีการใช้จากสัตว์แพทย์และคุณจะต้องมั่นใจว่าคุณสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญและแม่นยำ คุณจะต้องถือปืนในทิศทางที่ถูกต้องและจากนั้นก็ยิงอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด คุณจะต้องมั่นใจอีกเช่นกันว่าคุณจะไม่ยิงพลาดหรือยิงมันในทิศทางที่ผิด เพราะมันก็จะคายออกมาได้

แน่นอนว่าพวกเราส่วนใหญ่นั้นคงไม่ถนัดในการยิงปืน เพราะฉะนั้นมันจะดีกว่าหากเราหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเช่นนั้น ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการใช้มือของคุณปล่อยเม็ดยาลงไปในปากแมว คุณจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการใช้วิธีนี้

คุณจะต้องค่อยๆเปิดปากของแมวออกอย่างช้าๆและนุ่มนวลเพื่อให้แมวของคุณไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นก็ปล่อยเม็ดยาลงไป แต่คุณจะต้องมั่นใจว่าคุณปล่อยยาลงไปด้านหลังของช่องคอ เพราะถ้าคุณปล่อยไปอีกด้านแล้ว แมวของคุณอาจจะหายใจไม่ออกหรือบางทีมันอาจจะใช้ฟันของมันช่วยในการคายเม็ดยาออกมา ซึ่งบางครั้งการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความบาดเจ็บแก่แมวของคุณ เพราะฉะนั้นแล้วมันเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากที่จะต้องระมัดระวังในขณะที่คุณกำลังใช้เทคนิคนี้ในการให้ยาแก่แมว

ยังมีอีกหลายทางในการที่จะให้แมวของคุณนั้นกินยาเม็ดเข้าไป แต่ถ้าคุณยังไม่เจอทางที่ดีที่สุดในการที่จะให้แมวของคุณกินยาแล้ว คุณควรที่จะไปหายาที่เป็นของเหลวหรือเจล เพื่อให้แมวของคุณสามารถทานยาเข้าไปได้ แต่เพราะว่ายาเหล่านี้นั้นมีราคาค่อนข้างแพง ดังนั้นมันก็จะดีกว่าหากคุณสามารถเรียนรู้วิธีดังกล่าวข้างต้นและทำให้แมวของคุณกินยาเม็ดได้






















อ้างอิงมาจาก
เขียนเองค่ะ

การดูแลแมว Himalayan Cat

อาหารสำหรับแมว 

อาหารของแมวที่จะมีคุณภาพที่ดีจะต้องเป็นอาหารที่คุณภาพสูงไม่ควรไม่ซื้ออาหารแมวที่ลดราคาหรือตามร้านขาย ของพวกปลาเพราะอาหารที่เค้านำมาขายอาจจะนำอาหารอื่นๆมาผสมก็เป็นได้เพราะงั้นเราควรซื้ออาหารที่มีคุณภาพและดีให้แก่แมวของเรา

 



















กระบะทรายแมว

กระบะทรายแมวเป็นที่ทำความสะอาดของแมวเพราะแมวเป็นสัตร์ที่ชอบทำความสะอาดตัวเองบ่อบเสมอไม่ให้ตัวเองสกปกพูดง่ายๆแม้วเป็นเหมือนผู็หญิงที่ชอบรักสวยรักงาม 











การตัดขนของแมวจะทำให้แมวของคุณมีสุขภาพที่ดี


แมวส่วนใหญ่นั้นใช้เวลาส่วนใหญ่ของมันในการทำความสะอาดตัวของมันเอง บ่อยครั้งที่คุณจะเห็นมันชื่นชมกับอุ้งเล็บและใบหน้าของมัน มันไม่ได้ต้องการให้คุณทำสิ่งเหล่านั้นแก่มัน แต่เนื่องจากว่ามันต้องการรักษาความสะอาดให้แก่ตัวมันเอง มันจึงต้องการให้เจ้าของช่วยทำให้มันสะอาดอยู่เสมอๆ











การแปรงขนแมว

Hairball ที่อยู่ในท้องของแมวนั้น เกิดจากการที่แมวนั้นพยายามจะเลียขนของมันเอง  แต่ทางเดินอาหารของมันนั้นไม่สามารถย่อยขนของมันในกระเพาะได้   ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ทางเดินอาหารอุดตันได้ นอกจากนี้การแปรงขนนั้นก็ช่วยกำจัดโคลนและเศษฝุ่นบนขนของมันและยังช่วยให้คุณสามารถดูแลในเรื่องของเห็บหรือหมัดอีกด้วย





อ้างอิงมาจาก
เขียนเองค่ะ

ลักษณะนิสัยแมวหิมาลายัน

แมวหิมาลายันส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่พวกที่ไม่สามารถอยู่ นิ่งได้ กล่าวคือ มันไม่ได้ขยับไปขยับมาตลอดเวลา แม้มันชอบที่จะเล่นและเป็นค่อนข้างจะคล่องแคล่ว แต่มันก็มีเวลาของมันและมันชอบที่จะทำอะไรที่คุณกำลังทำอยู่ คำที่จะอธิบายลักษณะของมันได้มากที่สุดคือ people oriented ก็คือมีแนวโน้มที่จะอยู่กับคน ช่วยเหลือคน ปฏิบัติตามคน ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความเรื่องนี้อยู่มันก็นั่งอยู่บนตักของเขา มันชอบเจ้าของของมันมาก แมวหิมาลายันมักจะพยายามที่จะช่วยเหลือคุณในทุกๆเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่คุณอ่านหนังสือพิมพ์ หรือจัดเตียง มันมักจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆของคุณเสมอ และมันก็จะระบายความรู้สึกของมันออกมาทางเสียงที่ไพเราะเป็นเหมือนดนตรี สิ่งที่มันต้องการที่สุดก็คือแค่การที่เราอุทิศแรงกายแรงใจในการเลี้ยงดู เอาใจใส่มันแค่นั้นเอง




อ้างอิงมาจาก
เขียนเองค่ะ


สีสันและลวดลาย Himalayan Cat

แมวหิมาลายันได้มีพัฒนาการมากมายในตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา โดยทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการอุทิศตนและการทำงานหนักของนักขยายพันธุ์ที่จะทำ ให้รวมสายพันธุ์หิมาลายันเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย แต่แมวหิมาลายันในปัจจุบันค่อนข้างจะแตกต่างกับที่มันเคยเป็นในอดีตอย่างมาก

ในปี 1957 แมวหิมามาลัยได้ถูกบันทึกไว้กับ CFA ในจุดสี seal , blue , chocolate และ lilac และมีจุดสีเพิ่มอีกคือ flame , tortie ในปี 1957 , blue-cream ในปี 1972 , cream ในปี 1979 และ lynx ในปี 1982 ในขณะที่สี seal , blue , chocolate และ lilac ได้ถูกบันทึกไว้เป็นเวลานาน แต่สี chocolate และ lilac ก็เพิ่งจะเป็นที่แข่งขันได้เมื่อไม่นานมานี้ ตั้งแต่ปี 1992 เราจะเห็นการเพิ่มขึ้นของสี chocolate และ lilac ที่ได้รับรางวัล grand champion โครงสร้างพันธุศาสตร์ของสี chocolate และ lilac ค่อนข้างจะซับซ้อน ทำให้มีแค่บางคนเท่านั้นที่เต็มใจจะขยายพันธุ์ ดังนั้นการพัฒนานี้จึงเป็นผลโดยตรงมาจากคนเหล่านี้นั่นเอง

chocolate มีลักษณะกรรมพันธุ์อ่อนและในภาวะ homozygous จะผลิตได้ทั้งสี chocolate และ lilac พูดในอีกทางหนึ่งคือ ทั้งพ่อและแม่จะต้องมีอัลลีลเป็นสี chocolate ทั้งคู่เพื่อที่จะให้ลูกหลานสามารถแสดงสีออกมา ถ้ามีองค์ประกอบตามนี้คือได้รับมรดกพันธุกรรมมาจากทั้งพ่อและแม่แล้ว ก็จะแสดงสี chocolate แต่ถ้าได้รับมรดกทางพันธุกรรมเพียงจากพ่อหรือจากแม่ ก็จะเป็น heterozygous ของ chocolate ซึ่งมีสี chocolate แฝงอยู่ภายในและแสดงสีที่เหนือกว่าออกมา

พวกสี flame และ tortie ถือเป็นสีที่เป็นที่นิยมในบรรดาแมวหิมาลายันมาโดยตลอด ด้วยความตัดกันของตาสี blue และจนสี white โทน ของพวกสี flame 

สี Cream และสี blue-cream นั้นคล้ายกับสี flames และ torties ที่ค่อนช้างเจือจางลง โดยมันอาจจะดูเด่นจากสีสันที่อ่อนนุ่มของมัน และขนปกคลุมที่ค่อนข้างเห็นเด่นชัดเจน

สำหรับสีสุดท้าย แต่ไม่ท้ายที่สุด มากับสี lynx ซึ่งเป็นสีที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปัจจุบัน สี lynx จะลวดลายเป็นแถบๆสี ซึ่งทำให้มันไม่เหมือนกับ colorpoint อื่นๆ สำหรับสีเหล่านี้นั้นเกิดจากการรวมกันของ ยีน tabby ที่เป็นยีนเด่นกับยีนด้อย ที่เป็นตัวยับยั้งเมลานินของแมวหิมาลายัน มีเอกสารบันทึกว่ามีการผสมพันธุ์ของพวก tabbies หรือ silvers กับพวกหิมาลายันเมื่อราวปี 1970























อ้างอิงมาจาก
http://www.แมวเปอร์เซีย.com/th/2009-05-11-19-30-48/3-2009-05-11-17-31-42/14-2009-05-25-09-48-08


ประวัติความเป็นมาของแมวหิมาลายัน

ชาวเปอร์เซียได้รับการยอมรับและโด่งดังในฐานะผู้ขยาย พันธุ์แมวและได้เป็นผู้ตั้งรากฐานของการผสมพันธุ์แมวในยุคต้นๆ ซึ่งมีผลทำให้เกิดการพัฒนาของแมวหิมาลายันขึ้นมา วิวัฒนาการขั้นแรกๆของแมวเปอร์เซียเกิดขึ้นในที่ราบสูงเปอร์เซีย(ประเทศ อิหร่านและอิรักในปัจจุบัน) ซึ่งแมวที่มีขนยาวและนุ่มลื่นนี้ได้ถูกนำไปสู่ยุโรปโดยพวกฟินิเซียนและโรมัน ทำให้ชาวยุโรปต่างประทับใจกับมันมาก โดยเป็นเวลากว่าหลายปีแล้วที่แมวเปอร์เซียถูกขยายพันธุ์ไปเพื่อที่จะคงแมวขน ยาวนี้ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ 

ก้าวแรกของการพัฒนาแมวเปอร์เซีย หิมาลายัน นี้คือการผสมระหว่างแมวพันธุ์ไทยวิเชียรมาศกับแมวพันธุ์เปอร์เซีย ซึ่งต่อมาก็มีการขยายพันธุ์ลูกหลานเรื่อยๆเพื่อที่จะสร้างกลุ่มของแมวที่มี ขนยาวและมีลวดลายแบบ colorpoint-persian ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ถูกขยายพันธุ์กลับไปยังเปอร์เซียและทายาทของมันก็ถูกผสม ข้ามพันธุ์ หลายปีต่อมานักผสมพันธุ์ก็มีแมวที่มีลักษณะเฉพาะของแมวเปอร์เซียและมีสีแบบ colorpoint หลากสี เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก้าวต่อไปก็เริ่มขึ้นโดยมีการยอมรับสายพันธุ์แมวนี้จาก องค์กรจดทะเบียน

ในประเทศอังกฤษ นาย Brian Sterling-Webb ได้พัฒนาให้แมวขนยาว colorpoint ของเขามีความสมบูรณ์เรื่อยๆตลอดช่วงเวลา 10 ปี โดยในปี 1955 เขาติดต่อกับ Governing Council of the Cat Fancy (GCCF) และขอให้มีการยอมรับแมวขนยาวสายพันธุ์ใหม่นี้  ด้วยการที่เขาและนักขยายพันธุ์คนอื่นๆ ได้เตรียมพร้อมสำหรับการอธิบายและปกป้องงานที่เขาได้ทำการพัฒนาสีใหม่นี้ ขึ้นมา ทำให้แมวขนยาว colorpoint นี้ได้รับการอนุมัติข้อเสนอและถูกยอมรับเป็นสายพันธุ์หนึ่งในประเทศอังกฤษ

ในอเมริกาเหนือ นาง Goforth ได้ทำการเสนอให้มีการยอมรับสายพันธุ์นี้ในระหว่างการประชุมประจำปีของ CFA ใน Washington , DC เมื่อ 18 ธันวาคม 1957 โดยนาง Goforth ได้คัดค้านว่าถึงแม้ว่าลักษณะทั่วไปของแมวหิมาลายันนี้จะบ่งชี้ถึงลักษณะของ แมวเปอร์เซีย แต่มันก็ไม่ใช่แมวเปอร์เซียโดยแท้ มันเป็นแมวขนยาวที่ถูกผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้แมวเหล่านี้ได้รับการยอมรับและถูกจดทะเบียนขึ้นมาโดย CFA ซึ่งในขณะนั้นมีกฎในการยอมรับสายพันธุ์ใหม่ โดยที่ผู้ขยายพันธุ์ต้องแสดงให้เห็นถึงการขยายพันธุ์ของแมวหิมาลายัน นี้ 3 ช่วงยุค(Generation) เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการแช่งขันระดับ championship

ในทุกวันนี้ แมวหิมาลายันได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ของแมวหิมาลายันนั้นไม่ตรงตามมาตรฐานของสายพันธุ์ ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแมวเปอร์เซีย นักขยายพันธุ์หลายๆ คนได้หยุดการผสมพันธุ์กับแมวเปอร์เซียนสีล้วน แต่กลับผสมพันธุ์แมว colorpoint กับแมว colorpoint กันเอง และส่งผลให้การพัฒนาแมวหิมาลายันนั้นมีลักษณะไม่ค่อยตรงกับมาตรฐานของสาย พันธุ์เปอร์เซียและในหลายกรณีที่แมวหิมาลายัน กลายมาเป็นแมวขนยาว colorpoint ที่มีจมูกยาวแทน

ในช่วงปี 1970 ผู้เลี้ยงแมวหิมาลายันได้เริ่มที่จะประเมินถึงเป้าหมายที่พวกเค้ากำลัง พยายามจะทำให้สำเร็จ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังเอาจริงเอาจังกับการพัฒนาสายพันธุ์แมวให้ เป็นพันธุ์เปอร์เซียที่ดีกว่าเดิม พวกเขาเริ่มที่จะผสมแมวเปอร์เซียข้ามสายพันธุ์โดยใช้หลักการตามปกติ และนำลูกหลานมาใช้ในการขยายพันธุ์ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีแมวขนยาว colorpoint ที่มีลักษณะเปอร์เซียที่ดีกว่าปรากฏ แมวเหล่านี้ดูเหมือนแมวเปอร์เซียมากยิ่งขึ้น และในที่สุดมันก็สามารถที่จะแข่งขันกับแมวเปอร์เซียเพื่อขิงรางวัลชนะเลิศ ตามที่ปรารถนา

ดังนั้นจึงมีคำถามต่อมาว่า ถ้าแมวสายพันธุ์นี้ดูเหมือนแมวเปอร์เซีย และเป็นที่สามารถแข่งขันกับแมวเปอร์เซีย แล้วทำไมพวกมันจึงต้องแข่งขันในฐานะสายพันธุ์อื่น หลายๆคนเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ของการที่เราจะจัดแมวหิมาลายันเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย อย่างไรก็ตามยังมีคนบางกลุ่มที่ยังชอบในลักษณะของแมวหิมาลายันเก่าๆและแมว ของเขาไม่สามารถที่จะแข่งขันกับแมวอื่นๆในเวทีการแสดงได้ โดยมีบางส่วนในนี้ที่เริ่มจะเบนหนีจากการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานของแมวเปอร์ เซียซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานที่แมวหิมาลายันในยุคปี 60 เป็นแบบนั้น หากคุณชำเลืองแมวหิมาลายันในการแสดงโชว์แมวในปัจจุบันก็จะเห็นว่าเป้าหมาย ของพวกเขานั้นยังไม่สำเร็จเลย และในปี 1987 Persian Breed Council ได้มีการให้ลงคะแนนว่า “ควรหรือไม่ที่จะให้แมวหิมาลายันในปัจจุบันจัดเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย”

และยังมีการลงคะแนนจากทาง Himalayan Breed Council ในหัวข้อเดียวกันคือ
” แมวสายพันธุ์หิมาลายันควรจะจัดเป็นแบบใด
A) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
B) เป็น Division หนึ่งของสายพันธุ์เปอร์เซีย


ถึงแม้ว่าทั้งสองสมาคมจะคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนั้น แต่กระนั้นแล้วบอร์ดบริหารของ CFA ก็ยังเลือกที่จะจัดแมวหิมาลายันลงไปในสายพันธุ์ของแมวเปอร์เซีย สำหรับการตัดสินใจที่เสี่ยงต่อความขัดแย้งนี้มีเหตุผลอธิบายคือได้ใช้ความ สอดคล้องในโครงสร้างของสายพันธุ์คือ แมวเปอร์เซียสองสีที่มีเชื้อตระกูลมาจากพวกขนสั้นและจัดเป็นลูกผสม ยังถูกยอมรับให้แข่งขันในระดับ championship ปี 1970 ดังนั้นแล้ว ความจริงที่ว่าแมวหิมาลายันเป็นลูกผสมกับแมวไทยนั้น ก็ไม่น่าจะต่างกัน และควรจะถูกยอมรับเป็น Division หนึ่งของสายพันธุ์เปอร์เซีย

ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา แมวหิมาลายันนั้นชนะในการแสดงโชว์แมวอย่างไม่ขาดสาย ในภาพรวมจะเห็นได้ชัดว่าสายพันธุ์ได้ถูกปรับปรุงอย่างรวดเร็ว และหลายครั้งที่ได้ประสบความสำเร็จในการชนะการแข่งขันระดับ regional และระดับ national  เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆแล้ว แมวสายพันธุ์หิมาลัยยังคงเป็นผลงานชิ้นเอกมาโดยตลอด และนักขยายพันธุ์ยุคต้นๆและยุคร่วมสมัยนั้นคงจะสามารถภูมิใจในสิ่งที่เค้าทำ และมีผลมาถึงทุกวันนี้


































อ้างอิงมาจาก
http://www.แมวเปอร์เซีย.com/th/2009-05-11-19-30-48/3-2009-05-11-17-31-42/14-2009-05-25-09-48-08